โคกพนมดี

ภาพจาก: http://kanchanapisek.or.th/kp6/New/sub/book/book.php?book=15&chap=6&page=picture_detail15_6.html

            โคกพนมดีเป็นโบราณสถานเนินดินขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายเกาะที่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม มีรูปร่างค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๓๐ เมตร  มีพื้นที่ประมาณ ๒๘ ไร่  จุดสูงสุดจากพื้นที่โดยรอบประมาณ ๑๒ เมตร  อยู่ในตำบลท่าข้าม อำเภอพนัสนิคม ผลการศึกษาพบว่า  โคกพนบดีเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณที่สามารถสร้างเครื่องมือหิน (ขวานหินขัด หินลับ หินบด ค้อนหิน หินกรวดสำหรับขัดผิว ภาชนะและกำไลหิน) เครื่องมือที่ทำจากกระดูกสัตว์เช่น ฉมวก เครื่องมือที่ทำจากหอยเช่น มีด สิ่ว เครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอย และภาชนะดินเผาแบบเชือกทาบ เป็นชุมชนที่อพยพ และเปลี่ยนแปลงมาจากสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งมักอาศัยอยู่ในที่สูงดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และแสวงหาอาหารจากธรรมชาติ ต่อมาอพยพลงมาอยู่ที่โคกพนบดี ซึ่งในครั้งนั้นเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งจากป่าและทะเล มีผู้เสนอข้อคิดเห็นว่าเนินดินแห่งนี้เป็น Shell mound สมัยก่อนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ ต่อมาผู้คนเหล่านั้นก็เริ่มพัฒนาการดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกแบบเริ่มแรก ควบคู่กันไปกับการแสวงหาอาหารจากทะเล และล่าสัตว์

ที่ตั้ง บ้านโคกพนมดี ตำบลท่าข้าม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี แผนที่ทหาร พิมพ์ครั้งที่ ๑-RTSD ลำดับชุด L7๐๑๗  ระวาง ๒๕๓๖ III รุ้ง ๑๓ ฐ ๓๔’ ๔๐”เหนือ แวง ๑๐๑ ฐ ๐๘’ ๕๐ ” ตะวันออก พิกัดกริด ๔๗ PQR ๓๑๗๒๐๕

ข้อมูลจาก: http://th.wikipedia.org/wiki/โคกพนมดี

โคกพนมดี เป็นเนินดินขนาดใหญ่
ทางเข้าแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี วัดโคกพนมดี อ.พนัสนิคม

สภาพทั่วไป แหล่งโบราณคดีโคกพนมดี ลักษณะเป็นเนินดินใหญ่ทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 230 เมตร จุดสูงสุดของเนินอยู่ทางด้านทิศเหนือ สูงประมาณ 12 เมตรจากพื้นนาโดยรอบ ตั้งห่างจากแม่น้ำบางปะกง 8 กิโลเมตรและห่างจากแนวชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยประมาณ 22 กิโลเมตร บนเนินดินปกคลุมด้วยไม้ยืนต้นและไม้พุ่มค่อนข้างหนาแน่น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของราษฎรหมู่ที่ 3 บ้านโคกพนมดี พื้นที่โดยรอบเป็นที่ราบลุ่มใช้ประโยชน์ในการทำนาข้าว ทางด้านทิศใต้ห่างออกไป 7 กิโลเมตรเป็นเนินเขาฟิลไลด์ ชื่อเขาคีรีรมย์ แหล่งน้ำในบริเวณนี้นอกจากแม่น้ำบางปะกงแล้ว ยังมีลำน้ำเก่าไหลจากเขตอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทราลงสู่แม่น้ำบางปะกงในเขตอำเภอบ้านโพธิ์ (กรมศิลปากร 2531, 296)

ประวัติการขุดค้น แหล่งโบราณคดีโคกพนมดีได้รับการอ้างถึงเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2483 ในหนังสือเรื่อง “เมืองพนัสนิคม” ต่อมาได้มีการสำรวจโดยคณะทำงานด้านโบราณคดีในปี พ.ศ. 2516, 2521, และ 2521-2522 ก่อนดำเนินขุดค้นในปี พ.ศ. 2522, 2525 และ 2527-2528 โดยการขุดค้นครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2527-2528 เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ และกรมศิลปากร ดำเนินงานระหว่างเดือนธันวาคม 2527 – เดือนกันยายน 2528 ภายใต้ความควบคุมของ ดร.รัชนี ทศรัตน์ (บรรณนุรักษ์) ผู้อำนวยการโครงการฝ่ายไทยและ ศ.ดร.ชารล์ ไฮแอม ผู้อำนวยการโครงการฝ่ายนิวซีแลนด์ ภายใต้ “โครงการศึกษาเรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง” จุดประสงค์เพื่อ “(1) หาอายุที่แน่นอนของแหล่งโบราณคดี ตั้งแต่แรกเริ่มจนสิ้นสุดของการตั้งถิ่นฐาน (2) หาหลักฐานและอายุของการเพาะปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ (3) หาหลักฐานของการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับชุมชนอื่นที่อยู่ใกล้เคียง (4) ศึกษาวิเคราะห์โครงกระดูกมนุษย์ (5) ศึกษาถึงระดับเทคโนโลยี และ (6) ศึกษาโครงสร้างของสังคม” (ประพิศ พงษ์มาศ ชูศิริ 2534, 14)  

สภาพปัจจุบัน เนินดินแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี อ.พนัสนิคม ชลบุรี
โครงกระดูกมนุษ์สมัยก่อนปรัวัติศาสตร์ ขุดพบที่โคกพนมดี
การขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีโคกพนมดี ระหว่างปี พ.ศ. 2527-2528

จำนวนตัวอย่างโครงกระดูก การขุดค้นระหว่างปี พ.ศ. 2527-2528 พบตัวอย่างโครงกระดูกมนุษย์รวมทั้งสิ้น 154 โครง จำแนกออกตามลำดับชั้นการฝังศพ (Mortuary Phrase – MP) เป็น 7 ลำดับด้วยกัน คือ MP1 พบหลักฐานรวม 6 โครง, MP2 พบรวม 56 โครง, MP3 พบรวม 42 โครง, MP4 พบรวม 29 โครง, MP5 พบรวม 4 โครง, MP6 พบรวม 12 โครง และ MP7 พบรวม 5 โครง วิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ และภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยโอทาโก โดยประพิศ พงษ์มาศ ชูศิริ และมี ศ.ฟิลิป เฮาจ์ตัน เป็นที่ปรึกษา

ลักษณะทางประชากรศาสตร์สมัยโบราณ ตัวอย่างโครงกระดูกจากแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี ในการวิเคราะห์ (ครั้งแรก) สามารถจำแนกเป็นโครงกระดูกผู้ใหญ่จำนวน 68 โครง (จำแนกเพศได้เป็นเพศชาย 32 โครง และเพศหญิง 36 โครง) เด็กโตจำนวน 14 โครง และเด็กแรกเกิดจำนวน 72 โครง

         โครงกระดูกเพศหญิงพบร่องรอยการมีบุตรมาแล้วทั้งหมด พบโครงกระดูกที่มีบุตรมีอายุน้อยที่สุดราว 20 ปี ซึ่งปรากฏลักษณะหรือร่องรอยของการมีบุตรมาแล้วอย่างน้อย 2 คน โครงกระดูกจากโคกพนมดีมีค่าประเมินอายุเมื่อตายมากที่สุดราว 45-49 ปี ส่วนค่าอายุน้อยที่สุดคือแรกเกิด พบอัตราการตายของเด็กเล็กอายุตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 2 ขวบในความถี่สูง โดยเฉลี่ยทั้งสองเพศมีค่าอายุเมื่อตายราว 28.2 ปี เพศชายอายุสั้นกว่าเพศหญิง โดยเฉลี่ยเพศชายมีอายุประเมินเมื่อตายประมาณ 27.2 ปี ส่วนเพศหญิงมีอายุราว 29 ปี

ตารางจำแนกตัวอย่างโครงกระดูกจากแหล่งโบราณโคกพนมดี ตามเพศและค่าประเมินอายุเมื่อตาย

อายุ/ เพศ

เพศชาย

เพศหญิง

จำแนกเพศไม่ได้

รวม

ทารก (0-2 ปี)

 

 

72

72

เด็ก (2-12 ปี)

 

 

14

14

วัยรุ่น (12-20 ปี)

5

3

 

8

วัยหนุ่ม (20-35 ปี)

22

20

 

42

วัยกลางคน (35-50 ปี)

5

12

 

17

วัยสูงอายุ (มากกว่า 50 ปี)

 

1

 

1

รวม

32

36

86

154

ที่มา: ประพิศ พงษ์มาศ ชูศิริ, ผลการวิเคราะห์โครงกระดูกมนุษย์ที่แหล่งโบราณคดีโคกพนมดี. (กรุงเทพฯ: โครงการสำรวจแหล่งโบราณคดี ฝ่ายวิชาการ กองโบราณคดี, 2534), 40-48.

ลักษณะทางกายภาพที่สามารถวัดได้และวัดไม่ได้ของกะโหลกศีรษะ

          การศึกษาลักษณะทางกายภาพที่สามารถวัดได้ในส่วนกะโหลกศีรษะ ทำการวัดตามจุดกำหนดรวม 33 จุด ส่วนการศึกษาลักษณะที่วัดไม่ได้ สังเกตเบื้องต้นจากร่องรอยที่แสดงถึงลักษณะความเกี่ยวเนื่องทางพันธุกรรม เช่น metopism, frontal foramen or notch, supraorbital foramen, dupraorbital notch และ Zygomatic-facial foramen เป็นต้น จากตัวอย่างโครงกระดูกผู้ใหญ่ 35 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 22.7 จำแนกเป็นเพศชาย 15 ตัวอย่าง และหญิง 20 ตัวอย่าง พบว่าคนก่อนประวัติศาสตร์ที่โคกพนมดีมีลักษณะกะโหลกกว้างและกลม มีรูปใบหน้า จมูก และเพดานปากกว้าง เมื่อมองจากด้านข้างเห็นลักษณะการยื่นของใบหน้าช่วงล่าง (alveolar prognathism) โดยทั่วไปกะโหลกศีรษะเพศชายใหญ่และแข็งแรงกว่าเพศหญิง ทั้งยังพบ rocker jaw ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่พบในกลุ่มโพลีนีเซีย แต่โดยภาพรวม โครงกระดูกโคกพนมดีนั้นมีลักษณะทางกายภาพเหมือนหรือคล้ายคลึงกับกลุ่มคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั่วไปในไทยและกลุ่มคนไทยปัจจุบัน

             การศึกษาเรื่องฟัน ผู้วิเคราะห์ได้วัดขนาดฟันด้าน  bucco-lingual และ mesio-distal crown ของทั้งสองเพศ พบว่าขนาดฟันเพศหญิงเล็กกว่าเพศชายเพียงเล็กน้อย เพศชายมีร่องรอยการสึกของฟันมากกว่าเพศหญิง และพบลักษณะ v-shaped ที่ฟันตัดซี่หน้าบนและล่างในทั้งสองเพศ

          การหาค่าสถิติการขึ้นของฟันกรามซี่ที่ 3 (third molar) ใน 66 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 42.86 พบเพศชายมีการขึ้นของฟันกรามซี่ที่ 3 ร้อยละ 92.50 และเพศหญิงมีการขึ้นของฟันร้อยละ 74.31 การศึกษาหาร่องรอยการถอนฟันหน้าพบว่าโครงกระดูกโคกพนมดีส่วนมากนิยมถอนฟันตัดด้านหน้า (ซี่ที่ 1) มากกว่าฟันซี่อื่นๆ และไม่ปรากฏร่องรอยของการถอนฟันกรามน้อยและฟันกรามแต่อย่างใด และการศึกษาลักษณะที่วัดไม่ได้ อย่างลักษณะฟันตัดรูปพลั่ว (shovel-shaped) ของฟันตัดซี่ที่ 1 และ 2 ชุดฟันข้างบนและล่างซึ่งพบในราวร้อยละ 50 ขัดแย้งกับลักษณะทั่วไปของชาวเอเชีย (มองโกลอยด์) ที่โดยทั่วไปพบลักษณะดังกล่าวเกือบร้อยละ 100 ลักษณะ Carabelli’s cusp ของฟันกรามซี่ที่ 1 ในขากรรไกรบน พบราวร้อยละ 23-43 มากกว่าลักษณะของชาวเอเชียที่พบเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น และลักษณะ protostylid ของฟันกรามในขากรรไกรล่าง เป็นต้น เพื่อใช้สำหรับจัดกลุ่มโครงกระดูก เช่นเดียวกับการสังเกตลักษณะที่วัดไม่ได้บนกะโหลกศีรษะ

 ผลการจัดกลุ่มโครงกระดูก (cluster of skeleton) โดยจำแนกเบื้องต้นตามพื้นที่ การฝังศพ และร่องรอยลักษณะที่วัดไม่ได้ของกะโหลกศีรษะ พบว่าในพื้นที่โคกพนมดีนั้น มีกลุ่มชนเล็กๆ อาศัยอยู่รวมกันประมาณ 8 กลุ่มย่อยในสองกลุ่มใหญ่ หรือสองกลุ่มหลักคือ cluster C และ cluster F โดยใน cluster C พบลักษณะความต่อเนื่องทางพันธุกรรมชัดเจน ส่วน cluster F พบการขาดช่วงของพันธุกรรมในบางช่วงเท่านั้น

            โครงกระดูกทั้งสองกลุ่มมีลักษณะพันธุกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะ metopism ที่ปรากฏทั้ง 2 กลุ่มและพบหนาแน่นราวร้อยละ 25-39 การปรากฏของ bregmatic bone ซึ่งพบ 2 โครงเฉพาะใน cluster F อันน่าจะเป็นลักษณะการสืบพันธุกรรมระหว่างพ่อกับลูก  หรือการพบลักษณะ precondylar tubercle เฉพาะใน cluster C แสดงว่าภายในกลุ่ม (cluster) มีการสืบลักษณะทางพันธุกรรมภายในกลุ่ม (gene pool) ด้วยเช่นกัน แต่ไม่สามารถกำหนดได้แน่ชัดเพราะปัญหาข้อจำกัดด้านจำนวนและสภาพความสมบูรณ์ของตัวอย่างเป็นหลัก ลักษณะทางกายภาพที่สามารถวัดได้และวัดไม่ได้ของกระดูกโครงสร้างร่างกายส่วนแขนขา

                  การวัดกระดูกท่อนยาวอย่างกระดูกต้นแขน กระดูกปลายแขนด้านนอก กระดูกปลายแขนด้านใน กระดูกต้นขา กระดูกหน้าแข้ง และกระดูกน่องเพื่อประเมินสัดส่วนความสูงของโครงกระดูก ศึกษาจากตัวอย่างโครงกระดูกผู้ใหญ่รวม 66 โครง หรือราวร้อยละ 42.9 จำแนกเป็นเพศชาย 30 โครงและหญิง 36 โครง ตามค่าสมการไทยจีน (สรรใจ แสงวิเชียรและคณะ 2528) พบเพศชายมีความสูงราว 162.31 – 166.95 เซนติเมตรและมีค่าเฉลี่ยความสูงราว 164.30 เซนติเมตร ขณะที่เพศหญิงมีค่าความสูงราว 152.65 – 154.42 เซนติเมตรและมีค่าเฉลี่ยความสูงราว 153.78 เซนติเมตร

นอกจากนี้ การสังเกตลักษณะที่วัดไม่ได้ที่ปรากฏบนกระดูกอย่างร่องรอยของ atlas bridging ในส่วนกระดูกสันหลังช่วงคอชิ้นที่ 1 ซึ่งพบสมบูรณ์ (complete bridge) ใน “โครงกระดูกเพศชาย อายุระหว่าง 25 -29 ปีใน cluster C ในขณะที่ retroarticular bridge พบในโครงกระดูกเพศชาย อายุ 25 – 29 ปี และมาจาก cluster C เช่นกัน จากหลักฐานที่พบนี้ Saunders and Popovich (1978) ได้กล่าวไว้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ พ่อลูก พี่น้อง จะเห็นเด่นชัดในการสืบทอดเชื้อสายที่ atlas bridging” (ประพิศ พงษ์มาศ ชูศิริ 2534, 117)

แหล่งอ้างอิง: http://www.sac.or.th/databases/physanth/app/works.php?id=16


โบราณสถาน

โบราณสถานเนินดินโคกพนมดี การตั้งถิ่นฐานที่โคกพนบดีนี้น่าจะมีสองสมัย คือ

สมัยแรก

มีอายุประมาณ ๘,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ดำรงชีพด้วยทรัพยากรจากทะเลเป็นสำคัญ (พบเปลือกหอย ก้างปลา กระดองเต่า และก้ามปู จำนวนมาก)

สมัยที่สอง

  มีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ชุมชนน่าจะขยายตัวใหญ่ขึ้น เพราะได้พบภาชนะดินเผาเป็นจำนวนมาก เริ่ม

ประกาศกรมศิลปากร โบราณสถานเนินดินโคกพนมดี พื้นที่ประมาณ 25 ไร่ กรมศิลปากรประกาศเป็นโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 101 ตอนที่ 125 ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2527

แหล่งอ้างอิง :http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B5
ชลบุรีขอ 150 ล้านฟื้น”โคกพนมดี”โบราณสถาน4พันปี

ศูนย์ข่าวศรีราชา -จังหวัดชลบุรีร่วมกับกรมศิลปากร และชาวบ้านพนัสฯ เล็งใช้งบฯ ร่วม 150 ล้านบาท ฟื้น”โคกพนมดี” แหล่งประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่าบ้านเชียง อายุ 4,000 ปี เตรียมของบ”ไทยเข้มแข็ง”สร้างพิพิธภัณฑ์สถานพื้นบ้าน ดึงนักโบราณคดีทั่วโลกศึกษา

          เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย รศ.สายันต์ ไพรชาญจิตร์ คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่บ้านโคกพนมดี หมู่ที่ 3 ตำบลท่าข้าม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เพื่อพบปะกับผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อวางแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ โคกพนมดี ให้เป็นพิพิธภัณฑสถานแหล่งเรียนรู้โบราณคดีชุมชน และ ศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี

        การพัฒนาพื้นที่บริเวณดังกล่าว เนื่องจากมีการขุดพบหลักฐานทางโบราณคดี พร้อมทั้งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียน ราชกิจานุเบกษา เล่มที่ 101 ตอนที่ 125 วันที่ 28 กันยายน 2527 มีขอบเขตเนื้อที่ ประมาณ 25 ไร่ และเมื่อปี 2528 มหาวิทยาลัย ตาโก ประเทศนิวซีแลนด์ และกรมศิลปากร โดย นายชาร์ล ไฮแอม และ นางรัชนี บรรณนุรักษ์ (ทศรัตน์ ) ทำการขุดค้น และ พบ เครื่องมือที่ทำจากหิน (ขวานหิน ค้อนหิน ภาชนะ และกำไลหิน) เครื่องมือที่ทำจากกระดูกสัตว์(เบ็ดตกปลา ฉมวก) เครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอยและภาชนะดินเผาแบบเชือกทาบ

จากการศึกษาวิจัยแล้วพบว่า สิ่งที่พบมีอายุมากกว่า 4,000 ปี มาแล้ว จึงมีการสันนิษฐานว่าโคกพนมดีเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณ นอกจากนั้นพื้นที่โคกพนมดี บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งจากป่าและทะเล

       นายเสนีย์ กล่าวว่า พื้นที่โคกพนมดี ถือว่าเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ ที่ควรอนุรักษ์ดูแลรักษาให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ต่อไปในอนาคต ที่ผ่านมาโคกพนนมดี เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก มีนักท่องเที่ยวโบราณคดี สนใจเดินทางมาจากต่างประเทศ เพื่อมาดู แต่มีคนอีกจำนวนมากในประเทศ ไม่รู้จัก จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมศิลปากร เตรียมจัดหางบประมาณมาพัฒนาพื้นที่บริเวณดังกล่าว เป็นแหล่งเรียนรู้โบราณคดีชุมชน และ ศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี โดยคาดว่าในปีแรกจะใช้งบประมาณจำนวน 15 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี ใช้งบทั้งสิ้น 45 ล้านบาทในช่วงที่ทำการค้นหาแหล่งโบราณคดีทางประวัติศาสตร์ ก็จะมีการก่อสร้างอาคารสถานที่บริเวณดังกล่าวไปด้วย เพื่อจะรองรับนักท่องเที่ยวผู้ที่เดินทางมาชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ คาดว่าในช่วงนี้จะต้องใช้งบประมาณอีก 100 ล้านบาท รวมโครงการอนุรักษ์พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ ประมาณ 145 ล้านบาท โดยจะทำเรื่องเข้าบรรจุในแผนของจังหวัด (ไทยเข้มแข็ง) ต่อไป

นายเสนีย์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้พื้นที่โคกพนมดี ถือว่ามีอายุเก่าแก่ กว่าบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี แต่โคกพนมดี ยังไม่มีการพัฒนาหรือศึกษาอย่างจริงจัง แต่หากได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ที่สำคัญประชาชนในพื้นที่จะต้องให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง พื้นที่ดังกล่าวจะเป็นจุดที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและนักประวัติศาสตร์ทั่วโลกอย่างแน่นอน

สำหรับพื้นที่โคกพนมดี เป็นเนินดินขนาดใหญ่กลางท้องนา ลักษณะคล้ายเกาะกลางทะเล มีรูปร่างค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 230 เมตร มีพื้นที่ประมาณ 28 ไร่ จุดสูงสุดของเนินดินสูงจากพื้นที่นาที่อยู่รอบๆประมาณ 12 เมตร บนเนินดินปกคลุมด้วยไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม และพื้นที่เนินดินโคกพนมดี เป็นที่ดินของวัดโคกพนมดี

           ด้าน รศ.สายันต์ ไพรชาญจิตร์ คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า พื้นที่บริเวณดังกล่าว เคยมีการสำรวจศึกษาวิจัยทางโบราณคดีมานานหลายสิบปีแล้ว โดยสามารถขุดพบของโบราณ เป็นจำนวนมาก และได้นำมาเก็บรักษาไว้อย่างดี ที่พิพิธภัณฑ์ จังหวัดปราจีนบุรี แต่การขุด ค้นในครั้งนั้นพบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงหยุดดำเนินการต่อ แต่ขณะนี้จะมีการศึกษาในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถค้นพบสิ่งของทางโบราณคดีอีกมากมาย เนื่องจากพื้นที่มีประมาณ 28 ไร่ แต่เคยทำการศึกษาเพียง 1 ไร่เท่านั้น ดังนั้นหากร่วมมือกันในการศึกษาค้นคว้า พื้นที่โคกพนมดี จะได้รับความสนใจจากนานาประเทศทั่วโลกอย่างแน่น

แหล่งอ้างอิง : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000106064                 

 ข้อมูลเพิ่มเติม (คลิก) 1. รูปภาพสำหรับโคกพนมดี

                         2. แหล่งโบราณคดี โคกพนมดี
                  
                         3พนัสนิคม ชลบุรี “เจ้าแม่โคกพนมดี” 3,000 ปีมาแล้ว

                        4. วธ.เตรียมพัฒนาแหล่งโบราณคดี “โคกพนมดี”

                          5เตรียมฟื้น “โคกพนมดี” แหล่งโบราณคดีอายุราว 1,500-4,000 ปี